บาคาร่าออนไลน์ ฟรีเครดิต สมัครสมาชิกบาคาร่าออนไลน์มีทีมงานดูแลตลอด 24 ชม.

บาคาร่าออนไลน์ ฟรีเครดิต สมัครสมาชิก ทีมงานดูแลตลอด 24 ชม

4 โรคยอดฮิตของเด็กๆ

4 โรคยอดฮิตของเด็กๆ ในช่วงหน้าร้อน อย่ามองข้าม

ในช่วงหน้าร้อนที่อากาศบ้านเรามีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนจึงต้องดูแลสุขภาพให้ดี เพราะอากาศที่ร้อนมากๆ มักนำพาโรคบางอย่างมาให้เราได้โดยไม่ทันตั้งตัว

โรคหน้าร้อน ที่มักเกิดขึ้นกับเด็ก

ร่างกายที่อ่อนเพลียจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้เด็กๆ ที่มีภูมิต้านน้อยอยู่แล้วเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น และโรคที่พบบ่อยในช่วงหน้าร้อนนั้น ได้แก่

โรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษ

อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เชื้อโรคเติบโตเร็ว ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ทำให้อาหารเสียได้ง่ายรวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่สะอาดนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ เกิดโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษได้ง่าย

  • อาการ : ปวดท้องแบบปวดเกร็งในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ใน 1 วัน ถ้าอาการรุนแรงจะถ่ายเป็นมูกเลือดได้ ซึ่งหากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียควรต้องกินยาฆ่าเชื้อ จึงควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
  • การดูแล : ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ รักษาตามอาการ เช่น ยาลดอาการอาเจียนและปวดท้อง แต่ไม่ควรกินยาหยุดถ่าย เพราะจะเป็นการขจัดสารพิษออกจากระบบทางเดินอาหาร ถ้าหากใน 1 วันอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
  • การป้องกัน : ดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ เครื่องดื่มสะอาด รวมทั้งควรดูแลสุขอนามัยอื่นๆ เช่น ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนกินอาหาร และหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง และดูแลของใช้ของเด็กๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ

4 โรคยอดฮิตของเด็กๆ

โรคลมแดดหรือโรคฮีตสโตรก (Heat Stroke)

การที่อุณหภูมิรอบๆ ตัวสูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตามไปด้วย บางครั้งอาจสูงจนถึง 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดโรคลมแดดหรือโรคฮีตสโตรกได้นั่นเอง

  • อาการ : ชีพจรเต้นเร็ว ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เป็นผื่นแดงๆ ตามร่างกาย อาจมีอาการสับสน กระวนกระวาย เพ้อ และชักหรือหมดสติได้
  • การดูแล : ควรรีบพาเด็กเข้าในร่ม ที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ถอดเสื้อผ้าและคลายเครื่องแต่งกายที่รัดแน่นจนเกินไป ให้เด็กนอนหงายและเช็ดตัวเพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายลดลงเร็วขึ้น
  • การป้องกัน : ในวันที่อากาศร้อนมาก ควรให้เด็กสวมเสื้อผ้าโปร่งที่ระบายลมได้ดี ดื่มน้ำบ่อยๆ และพยายามอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก

โรคผดร้อน

“เหงื่อ” ที่ร่างกายขับออกมาเพื่อช่วยระบายความร้อน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง และโรคที่พบมากในเด็กคือ “โรคผดร้อน” ที่เกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อนั่นเอง

  • อาการ : คัน มีผื่นเป็นเม็ดแดงๆ เล็กๆ ปรากฏได้ทั่วร่างกายบริเวณใบหน้า ซอกคอ หน้าอก หลัง และต้นขา
  • การดูแล : คอยดูแลให้บริเวณที่เกิดผดนั้นเย็นและแห้งอยู่เสมอ โรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่หากผดร้อนและอาการอื่นๆ ที่ปรากฏมีความรุนแรงขึ้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยารักษาตามอาการ
  • การป้องกัน : ป้องกันโดยใส่เสื้อผ้าบางสบาย อย่าให้ผิวหนังอับชื้นจากเหงื่อ หลีกเลี่ยงการทาครีม โลชั่นที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจลลี่เพราะทำให้รูขุมขนอุดตัน

โรคไข้หวัดใหญ่

เป็นโรคติดต่อของระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้ตลอดปีและพบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่หากพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือในผู้สูงอายุ มักมีอาการรุนแรงมากกว่าวัยอื่นๆ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

  • อาการ : เริ่มจากรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัวปวดเมื่อยตามตัวมาก และปวดเบ้าตา มีอาการไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส ไอมีเสมหะ มักไม่ค่อยมีน้ำมูก ถ้าหากเป็นรุนแรงอาจเกิดภาวะปอดอักเสบแทรกซ้อนได้
  • การดูแล :
    – กลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ผู้สูงอายุ และคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ หอบหืด จะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสเป็นรุนแรง จะให้ยาต้านไวรัสโดยตรง
    – กลุ่มเด็กโตหรือผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง หากมีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลเองที่บ้านหรือรักษาตามอาการได้ เช่น เช็ดตัว กินยาลดไข้ ดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงควรมาพบแพทย์เพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อน
  • การป้องกัน : เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม สัมผัสน้ำมูกน้ำลายของผู้ป่วย รวมถึงอยู่ในสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท ดังนั้นทั้งเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบตลอดจนผู้สูงอายุ ควรได้รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี ปีละ 1 ครั้งเพื่อเป็นการป้องกันโรค
    โรคต่างๆ ที่พาเหรดกันมาในช่วงหน้าร้อน ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องระมัดระวังในการดูแลสุขภาพของลูกน้อยเป็นพิเศษ เพื่อปกป้องลูกน้อยไม่ให้เจ็บป่วย …อย่าให้ความร่าเริงของเด็กๆ ต้องมาสะดุด เพราะ “โรคในหน้าร้อน”…

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติม คลิ๊กเลย >> ป้าอ้างตีเพราะรัก หลานสาวหนีจากบ้าน หลังโดนทำร้ายหนัก-ให้กินข้าวบูด

ข่าวเด็กใหม่

ป้าอ้างตีเพราะรัก หลานสาวหนีจากบ้าน หลังโดนทำร้ายหนัก-ให้กินข้าวบูด

พลเมืองดีทนไม่ไหว แจ้งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ หลังพบเด็กหญิงหนีออกจากบ้าน อ้างโดนป้าทำร้ายอย่างหนัก ให้กินข้าวบูด มีแผลเต็มตัว ด้านป้า อ้าง ทำไปเพราะรัก ตีเพราะดื้อ

จากกรณีแฟนเพจ อีซ้อขยี้ข่าว ได้โพสต์ภาพเด็กผู้หญิงรายหนึ่งระบุข้อความอ้างว่า น้องยอมหนีออกมาจากบ้านเพราะถูกป้าทำร้ายอย่างหนัก เป็นแบบนี้ทุกวันจนทนไม่ไหว ซึ่งมีคนพบน้องจึงช่วยให้ที่พัก เพราะน้องยังไม่มีที่นอน น้องบอกว่า ป้าให้กินข้าวบูดกับแกงบูดและเคยใช้มีดตีแขนและถูกบาดที่ผิวเป็นแผลใหญ่ น้องเคยคิดสั้นไม่อยากอยู่กับป้า หลังแม่เสียเอามาฝากไว้และใช้งานไม่ให้พัก ถ้าไม่ถูกใจก็ทำร้าย ตอนนี้น้องอยู่กับพลเมืองดี ขอหน่วยงานช่วยเหลือ

ข่าวเด็กใหม่

ล่าสุด นางสาวอรยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 41 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า น้องจะมาเล่นกับลูกที่บ้านและลูกก็บอกว่าน้องถูกทำร้าย ตอนแรกตนเองยังไม่เห็นแผล พอเห็นว่าน้องโดนทำร้ายก็ได้สอบถามน้อง พร้อมกับบอกว่า ถ้าไม่ไหวก็มาหาน้านะ จนเมื่อคืนน้องก็มาหา ตนจึงถ่ายคลิปไว้ พบบาดแผลที่ใบหน้า แขา ขา เป็นรอยเขียว และรอยมีดเป็นแผลนานแล้ว

ตนได้ถามน้องว่า ทำอะไรผิดถึงโดนทำร้าย น้องบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าเขาไม่พอใจก็จะทำร้าย และโดนสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหน ถ้าเขารู้ว่าออกมาก็จะทำร้าย คาดว่าที่ไม่ให้ออกไปไหนก็คงจะกลัวว่าจะมาเล่าให้คนอื่นฟัง

ทั้งนี้พบว่า น้องที่ได้รับบาดเจ็บน่าจะเป็นลูกของน้องสาว แต่เขาเรียกป้าว่าแม่ โดยตัวป้าเป็นคนชอบใส่บาตรทำบุญ ตนเองไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ น้องเคยเล่าให้ฟังว่า เคยคิดสั้น พอรู้ก็ตกใจมาก จึงบอกน้องไปว่าอย่าทำอีก เพราะชีวิตมีค่าอย่าไปทำแบบนี้มันไม่ดี

จากนั้นเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางเข้าไปที่บ้านที่เด็กพักอาศัยอยู่ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ พบ นางคาย อายุ 43 ปี ชาวพม่า จากการสอบถามได้ความว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวเป็นเด็กกำพร้า เป็นลูกของน้องสาว ตนเองเอามาเลี้ยงตั้งแต่ 6 เดือน แม่เด็กเสียชีวิตแล้ว

เมื่อถามว่าทำไมทำร้ายน้องแบบนี้ นางคาย บอกว่า น้องดื้อ เมื่อเป็นประจำเดือนแล้ว ชอบออกไปเล่นบ้านคนโน้นคนนี้ ตนเองก็อยู่บ้านบ้าง ไม่อยู่บ้าง เลยให้อยู่บ้านแต่เขาไม่ชอบอยู่บ้าน ตนเองเลยกลัวว่าน้องจะท้องไม่มีพ่อจะทำยังไง ยืนยันว่ารักน้องคนนี้ที่สุด อะไรๆ ก็ช่วยเหลือทุกอย่าง ส่วนบาดแผลไม่ได้ใช้ไม้ตี ใช้มือ และก่อนหน้านี้ ตนเองกำลังทำปลาอยู่ แล้วน้องดื้อ จึงใช้มีดตีไปที่แขน แต่ไปโดนจนเป็นแผลแต่นานแล้ว ส่วนบาดแผลที่บริเวณใบหน้าก็ใช้มือ เพราะน้องดื้อมาก

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัว นางคาย ไปที่ สภ.คูคต เพื่อสอบสวนและจะได้ดำเนินคดีเรื่องทำร้ายร่างกาย ส่วนเด็กก็จะต้องให้สหวิชาชีพ ร่วมกันสอบปากคำ ก่อนที่นำตัวเด็กไปไว้ที่บ้านพักเด็กจังหวัดปทุมธานีก่อน แล้วจะได้มีการช่วยเหลือตามระเบียบของพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต่อไป ข่าวเด็กแนะนำ>>> “ดอน” ชู 3 แนวทางเสนอ UN แก้เด็กติดออนไลน์ – สร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพจิตใน ร.ร.

เด็ก

“ดอน” ชู 3 แนวทางเสนอ UN แก้เด็กติดออนไลน์ – สร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพจิตใน ร.ร.

“ดอน” ชู 3 แนวทางเสนอ UN แก้เด็กติดออนไลน์ – สร้างภูมิคุ้มกันสุขภาพจิตใน ร.ร.

เด็ก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 77 (UNGA77) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐได้เข้าร่วมการประชุม Mental health in schools and education settings: and Urgent Call to Action for World Leaders and Donors ซึ่งเป็นกิจกรรมคู่ขนานสำคัญ ร่วมจัดโดยองค์การอนามัยโลก และยูนิเซฟ

นายดอน กล่าวว่า ในช่วงระบาดโควิด-19 ทำให้เห็นชัดขึ้นเกี่ยวกับปัญหาการเสพติดโลกออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมงที่เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชนทั่วทุกแห่ง สร้างความสับสน การแยกตัว และกระบวนการขัดเกลาทางสังคมต้องหยุดชะงัก ไม่เป็นตามปกติ

รองนายกฯดอน ชี้ว่า คนหนุ่มสาวต้องการเครื่องมือใหม่และแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม ในการสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์และเสริมความแข็งแกร่งทางจิตใจ เพื่อให้มีสุขภาพดี มีความอดทน และพร้อมเติบโตอย่างเต็มตัว สู่สมาชิกในสังคมของพวกเขาที่มีความสมดุลและมีประสิทธิภาพ

ประการแรก ด้านการศึกษา เด็กๆใช้เวลาในโรงเรียนมากกว่านอกโรงเรียน ดังนั้นโรงเรียนควรมีบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริมสุขภาพทางอารมณ์และสุขภาพจิตที่ดี รวมทั้งต้องจับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น และสัญญาณความไม่สบายใจได้ เช่นเดียวกับตอบสนองคำร้องที่พวกเขาขอความช่วยเหลืออย่างเงียบๆได้

ประการที่สาม โรงเรียนต้องจัดสภาพแวดล้อมสำหรับการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์และเอื้ออำนวยกับทุกคน นี่เป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการฟื้นฟูในช่วงหลังโควิด-19 รวมทั้งต้องมีแรงจูงใจให้กับนักเรียน เพื่อชดเชยเวลาเรียนที่หายไป และการขัดเกลาทางสังคมในช่วงการระบาดใหญ่

นายดอน กล่าวด้วยว่า การศึกษาเป็นมากกว่าการสอนเนื้อหาทางวิชาการ ซึ่งสร้างพลังที่แตกต่าง ในการบ่มเพาะนักเรียนให้พร้อมรับกับชีวิตที่มีสุขภาพดีและเติมเต็มชีวิต ดังนั้นเราควรร่วมมือกันเปลี่ยนการศึกษาให้เป็น ‘แรงบันดาลใจ’ สำหรับเด็กทุกคน ขอให้เราลงทุนต่อไปในการช่วยให้เด็กเติบใหญ่และเติบโต ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและคิดบวก

อัพเดทข่าวเด็ก มาใหม่ แนะนำข่าวเพิ่มเติม : เตือน “ไข้หวัด” ช่วงหน้าฝน แนะผู้ปกครองต้องดูแลสุขภาพลูกหลานเป็นพิเศษ

ข่าวเด็ก

เตือน “ไข้หวัด” ช่วงหน้าฝน แนะผู้ปกครองต้องดูแลสุขภาพลูกหลานเป็นพิเศษ

เตือน “ไข้หวัด” ช่วงหน้าฝน แนะผู้ปกครองต้องดูแลสุขภาพลูกหลานเป็นพิเศษ

“กรมอนามัย” เตือนระวัง “เด็กเล็ก” ป่วยช่วงหน้าฝน พร้อมแนะผู้ปกครองดูแลสุขภาพลูกหลานเป็นพิเศษ ต้องช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อป้องกันโรค วันที่ 13 พ.ค. 2565 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึง ช่วงหน้าฝน พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องเฝ้าระวังดูแลเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายยังไม่แข็งแรง อาจเสี่ยงป่วยโรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ โดยอาการจะมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล วิธีป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ คือ ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลล้างมือทุกครั้งเวลาดูแลเด็กป่วย สอนให้เด็กเช็ดน้ำมูก และปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม

ข่าวเด็ก

นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพเด็กไม่ให้ป่วยง่าย พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับเด็ก ดังนี้

1. ให้เด็กกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ และปรุงสุกร้อน เน้นกินผัก และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง องุ่น สับปะรด เป็นต้น

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

3. พักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อมีฝนตกอากาศจะเย็น ให้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

4. ให้เด็กเคลื่อนไหว ออกแรง และออกกำลังกาย หรืออาจจะเป็นการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน เพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นและสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย

ทั้งนี้ ในช่วงใกล้เปิดเทอม สิ่งที่พ่อแม่ต้องคุมเข้มให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือหลังจากสัมผัสของเล่น และสำหรับศูนย์เด็กเล็ก ควรมีการคัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนประจำวันอย่างเข้มงวด หากพบเด็กมีอาการป่วย มีไข้สูง ไอ จาม หรือมีน้ำมูกไหล ผู้ปกครองให้เด็กหยุดเรียนจนร่างกายแข็งแรงปกติก่อน.